“Descendent” หรือชื่อภาษาไทยว่า “ดีเซนเดนท์” เป็นภาพยนตร์ไซไฟดราม่า–จิตวิทยาที่ถ่ายทอดเรื่องราวของ ฌอน (Sean) ชายหนุ่มวัยสามสิบต้น ๆ ผู้ทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยในโรงเรียนประถมท้องถิ่น เขาเป็นคนธรรมดา ไม่ได้มีความฝันยิ่งใหญ่ ไม่ได้มีความทะเยอทะยานล้นฟ้า แต่ชีวิตของเขากำลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อภรรยาของเขากำลังตั้งครรภ์ลูกคนแรก อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่เขาควรจะรู้สึกมีความสุขและตื่นเต้นกับการจะได้เป็นพ่อ เขากลับเริ่มเจอกับเหตุการณ์ประหลาดและน่าขนลุกที่เปลี่ยนวิถีชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง
หนังเปิดฉากด้วยภาพชีวิตประจำวันของฌอน เขาทำงานกะกลางคืนในโรงเรียนที่เงียบสงัด เสียงไฟนีออนในโถงยาวดังหึ่ง ๆ เขาเดินตรวจทางเดินและสนามเด็กเล่นที่ว่างเปล่า ความเงียบสงัดนี้ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความโดดเดี่ยวของตัวละคร ฌอนเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แม้เพื่อนร่วมงานพยายามชวนคุยเรื่อง “การจะเป็นพ่อครั้งแรก” แต่เขากลับยิ้มอึดอัด แทนที่จะตอบด้วยความภาคภูมิใจ ข้างในใจเขาเต็มไปด้วยคำถาม เขาจะดูแลลูกได้จริงหรือ? จะไม่ซ้ำรอยพ่อที่ทอดทิ้งเขาไปตอนเด็กหรือ? หนังใช้ภาพย้อนความทรงจำสั้น ๆ ของฌอนในวัยเด็ก ถูกทิ้งให้นั่งอยู่บนระเบียงบ้านคนเดียวในตอนกลางคืน รอพ่อที่ไม่เคยกลับมา ภาพนั้นยังหลอกหลอนเขาเสมอ
คืนหนึ่ง ฌอนเดินตรวจโรงเรียน เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าและเห็นแสงประหลาดพุ่งวาบลงมาจากฟากฟ้า มันไม่เหมือนเครื่องบิน ไม่เหมือนดาวตก เขาตกตะลึงกับภาพที่เห็น ก่อนทุกอย่างดับวูบลง เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง พบว่าตัวเองนอนอยู่ข้างรั้วโรงเรียน ศีรษะกระแทกกับพื้นจนเลือดซิบ เขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นอุบัติเหตุจากการลื่นล้ม หรือบางสิ่งบางอย่างได้เข้ามาใกล้เกินไป
ฌอนถูกนำส่งโรงพยาบาล หมอระบุว่าเขาได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองไม่ร้ายแรง แต่ต้องพักผ่อนให้มาก ขณะอยู่บนเตียงผู้ป่วย เขาเริ่มเห็นภาพหลอนเป็นเส้นสายแปลกประหลาด เขาคว้าดินสอที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงแล้วเริ่มวาดอย่างควบคุมไม่ได้ สิ่งที่ออกมาคือภาพ สิ่งมีชีวิตรูปร่างบิดเบี้ยว ไม่เหมือนมนุษย์ และภาพ ทะเลทรายกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยเงาสัตว์ประหลาด ภรรยาของเขา ซาราห์ ตกใจที่เห็น แต่หมอกลับบอกว่าอาจเป็นอาการข้างเคียงจากการกระทบกระเทือนสมอง “มันอาจหายไปเอง” หมอกล่าว แต่ในแววตาของฌอนกลับเต็มไปด้วยความกังวล
หลังออกจากโรงพยาบาล ฌอนกลับไปใช้ชีวิตปกติ แต่เขากลับ ไม่สามารถหยุดวาดภาพได้ บนผนัง บนกระดาษ แม้แต่บนสมุดโน้ตในโรงเรียน เขายังคงวาดภาพเดิม ทะเลทรายมืดมิดกับสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาด ทุกครั้งที่วาด เขารู้สึกเหมือนมีบางสิ่งในสมองกำลังบังคับมือให้เคลื่อนไหว ภาพเหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นจากจินตนาการ แต่เหมือนเป็น “ความทรงจำ” ที่เขาไม่รู้จัก
ในขณะที่ภาพหลอนรบกวนจิตใจ ฌอนยังต้องรับแรงกดดันจากการจะเป็นพ่อครั้งแรก เขาต้องไปฟังชั้นเรียนพ่อแม่มือใหม่ แต่กลับรู้สึกแปลกแยกจากคนอื่น ๆ มีฉากหนึ่งที่เขานั่งท่ามกลางกลุ่มพ่อแม่ที่หัวเราะคุยกันเรื่องการตั้งชื่อ การเตรียมห้องเด็ก ขณะที่ฌอนนั่งเงียบ สีหน้าหม่นหมอง ภาพในหัวของเขากลับเป็นเด็กทารกที่นอนร้องไห้ท่ามกลางทะเลทรายสีเทา
คืนหนึ่ง ฌอนสะดุ้งตื่นขึ้นมา เห็นแสงสีฟ้าส่องเข้ามาทางหน้าต่าง เขาเดินตามแสงนั้นออกไป พบว่ามันพุ่งไปยังสนามเด็กเล่นโรงเรียนที่เขาทำงาน เขาเห็น เงาของสิ่งมีชีวิตรูปร่างสูง ผิวโปร่งแสง ยืนอยู่ท่ามกลางเครื่องเล่นเด็ก แต่เมื่อกะพริบตา มันกลับหายไปทันที เขาไม่แน่ใจว่าเป็นความจริงหรือเพียงภาพในหัว ตั้งแต่นั้นมา ชีวิตเขากลายเป็นการต่อสู้ระหว่าง “สิ่งที่เห็น” กับ “สิ่งที่เป็นจริง” หนังเริ่มเจาะลึกสาเหตุของความหวาดกลัวในใจ ฌอนเริ่มฝันซ้ำ ๆ ถึงวัยเด็ก เขาเห็นตัวเองนั่งอยู่ในทะเลทรายที่กว้างใหญ่ ร่างเด็กชายที่โดดเดี่ยวกำลังมองไปยังท้องฟ้า และเห็น แสงประหลาด คล้ายกับที่เขาเห็นในปัจจุบัน เขาเริ่มสงสัยว่าอาจมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเขาตั้งแต่วัยเด็ก บางทีการหายตัวไปของพ่ออาจเกี่ยวข้องกับ “สิ่งมีชีวิต” ที่เขากำลังวาดอยู่
ซาราห์ภรรยาของเขาเริ่มรู้สึกหวาดกลัว เธอพยายามพาเขาไปหานักจิตบำบัด แต่ฌอนปฏิเสธ เขาเชื่อว่าสิ่งที่เห็น “เป็นจริง” ไม่ใช่อาการป่วยทางจิต การโต้เถียงระหว่างทั้งคู่หนักขึ้นเรื่อย ๆ จนวันหนึ่ง ซาราห์พูดว่า “ฉันต้องการสามีที่จะอยู่เพื่อครอบครัว ไม่ใช่คนที่กำลังจมลงไปในโลกที่ไม่มีอยู่จริง” คำพูดนั้นทำให้ฌอนเจ็บลึก แต่เขาก็ไม่อาจหยุดสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเขาได้ ฌอนค้นพบว่าภาพที่เขาวาดไม่ใช่แค่ภาพหลอน แต่เป็นการพยากรณ์ เขาวาดภาพหนึ่งที่ปรากฏ “ทะเลทรายกับรถยนต์ที่พลิกคว่ำ” และในวันรุ่งขึ้น ข่าวท้องถิ่นรายงานว่าเกิดอุบัติเหตุในทะเลทรายใกล้เคียง เหตุการณ์ตรงกับภาพของเขาแทบทั้งหมด นี่ทำให้เขาเชื่อว่าความสามารถนี้คือ “พร” ที่ได้รับจากบางสิ่งหลังเหตุการณ์แสงลึกลับ แต่ในขณะเดียวกัน “พร” นี้ก็น่าขนลุก เพราะทุกภาพที่เขาวาดเต็มไปด้วยความตาย ความว่างเปล่า และความสิ้นหวัง
เมื่อเวลาผ่านไป ฌอนเริ่มสูญเสียการควบคุมตัวเอง ภาพหลอนรุนแรงขึ้น เขาเห็นตัวเองยืนอยู่กลางทะเลทรายจริง ๆ ได้ยินเสียงลมเสียงเด็กทารกร้องไห้และเสียงกระซิบของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าโลกที่อยู่ตรงหน้าคือความจริงหรือเป็นภาพที่สมองของเขาสร้างขึ้นมา
หนังปิดฉากด้วยภาพฌอนนั่งอยู่ในห้องวาดภาพ รอบตัวเต็มไปด้วยภาพสิ่งมีชีวิตและทะเลทราย เขามองภาพเด็กทารกในมือภรรยา แล้วหันกลับไปมองภาพสิ่งมีชีวิตที่วาด ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยทั้งความรัก ความกลัว และความไม่แน่ใจว่าลูกของเขาจะ “สืบทอด” สิ่งเดียวกับเขาหรือไม่ เสียงบรรยายในหัวฌอนดังขึ้นว่า “ฉันไม่รู้ว่านี่คือพรหรือคำสาป แต่สิ่งที่แน่ใจคือ ลูกของฉันจะได้รู้ความจริง ไม่ว่าโลกจะพร้อมหรือไม่ก็ตาม” ภาพสุดท้ายคือแสงประหลาดบนท้องฟ้าที่ค่อย ๆ จางหายไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบและคำถามที่ไม่เคยมีคำตอบ
รูปแบบสไตล์หนังเรื่อง Descendent (2025) ดีเซนเดนท์
รูปแบบสไตล์หนังเรื่อง Descendent (2025) ดีเซนเดนท์ ตัวหนังไม่ได้เดินเรื่องด้วยฉากแอ็กชันหรือการเผชิญหน้ากับเอเลียนโดยตรง แต่ใช้ “แสงประหลาด” และ “ภาพหลอน” เป็นสัญลักษณ์ของความไม่มั่นคงทางจิตใจ ผสมผสานดราม่าครอบครัวเข้ากับความลึกลับเหนือธรรมชาติ เพื่อขับเคลื่อนความตึงเครียดของตัวละครหลัก ใช้โทนสีฟ้า–เทา–น้ำตาลซีด เพื่อสื่อถึงโลกที่ดูปราศจากชีวิตชีวา เหมือนสะท้อนความคิดและสภาวะของฌอน บรรยากาศโรงเรียนตอนกลางคืน สนามเด็กเล่นร้าง และห้องวาดภาพเต็มไปด้วยความเงียบ ที่กลายเป็นเสียงกดดันคนดู แสงจากท้องฟ้าและทะเลทรายในภาพวาดถูกใช้เป็น คอนทราสต์ สร้างความรู้สึก “งามแต่หลอน”
สรุปรีวิวหนังเรื่อง Descendent (2025) ดีเซนเดนท์
Descendent (2025) ดีเซนเดนท์ ไม่ใช่แค่หนังไซไฟเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว แต่เป็นการสำรวจความกลัวและความกดดันของการเป็นพ่อ การเผชิญหน้ากับอดีต และเส้นบาง ๆ ระหว่างความจริงกับความหลอน หนังเต็มไปด้วยภาพบรรยากาศกดดัน เสียงเงียบงัน และสัญลักษณ์ทางจิตวิทยาที่สะท้อนความไม่มั่นใจของมนุษย์เมื่อต้องแบกรับชีวิตใหม่ หนังตั้งคำถามต่อผู้ชมว่า “สิ่งที่เราเห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่มันเป็น” และ “บางทีสิ่งที่เรากลัวที่สุด…ก็คือการเป็นตัวเราเอง”